ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (5 ก.พ.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.1%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,380.12 จุด ลดลง 274.30 จุด หรือ -0.71%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,942.81 จุด ลดลง 15.80 จุด หรือ -0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,597.68 จุด ลดลง 31.28 จุด หรือ -0.20%
นายพาวเวลให้สัมภาษณ์ในรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เฟดจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวกับผู้ดำเนินรายการ 60 Minutes ว่า "ชาวอเมริกันอาจจะต้องรอคอยนานกว่าเดือนมี.ค.หากต้องการเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเจ้าหน้าที่เฟดจำเป็นต้องรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% และเนื่องจากเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งในขณะนี้ ทำให้เฟดต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย"
ตลาดยังถูกกดดันหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.1% หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งอาจจะส่งผลให้เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.4 ในเดือนม.ค. จากระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.0 โดยดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัว และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 2.5% หลังจากบริษัทแอร์ โปรดักส์ (Air Products) ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซสำหรับงานอุตสาหกรรมได้เปิดผยตัวเลขคาดการณ์กำไรในปี 2567 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด
หุ้นแมคโดนัลด์ ร่วงลง 3.7% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6.41 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.45 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 2% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 5.23 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.76 ดอลลาร์
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.3% หลังจากโบอิ้งเปิดเผยว่าทางบริษัทจำเป็นต้องแก้งานเพิ่มเติมกับเครื่องบินรุ่น 737 MAX ประมาณ 50 ลำที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งมอบเป็นไปอย่างล่าช้า หลังจากบริษัทสปิริต แอโรซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของโบอิ้ง ค้นพบว่ามีรูเจาะผิดตำแหน่ง 2 รูบนลำตัวเครื่องบิน
นักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทเกือบครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด