ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (9 ก.พ.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดเหนือระดับ 5,000 จุดได้เป็นครั้งแรก และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 16,000 จุดได้ในช่วงสั้น ๆ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงและหุ้นชิป ซึ่งรวมถึงหุ้นอินวิเดีย เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,671.69 จุด ลดลง 54.64 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,026.61 จุด เพิ่มขึ้น 28.70 จุด หรือ +0.57% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,990.66 จุด เพิ่มขึ้น 196.95 จุด หรือ +1.25%
การเปิดเผยผลประกอบการในเชิงบวกและแรงหนุนจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ AI ได้ช่วยหนุนดัชนี S&P500 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างวัน 10 ครั้งแล้วในปีนี้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดต่ำกว่า 16,057.44 ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนพ.ย. 2564 อยู่เพียง 0.4%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีทั้ง 3 ตัวยังคงปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยดัชนีดาวโจนส์บวก 0.04%, ดัชนี S&P500 บวก 1.4% และดัชนี Nasdaq บวก 2.3%
หุ้นอินวิเดีย ปิดพุ่งขึ้น 3.6% และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังรอยเตอร์รายงานว่า อินวิเดียกำลังสร้างธุรกิจใหม่ที่เน้นการออกแบบชิปตามความต้องการของบริษัทด้านคลาวด์ คอมพิวติงและอื่น ๆ รวมถึงโปรเซสเซอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูง
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า นายแซม อัลท์แมน ซีอีโอของบริษัทโอเพนเอไอกำลังเจรจากับบรรดานักลงทุนเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตชิปสำหรับ AI และอื่น ๆ
ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดฟิลาเดลเฟียปิดบวก 1.99% โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ อาทิ ไมโครซอฟท์, อะเมซอนดอตคอม และอัลฟาเบท
กระทรวงแรงงานสหรัฐประกาศปรับลดตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนธ.ค. จากเดิมที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ โดยดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ที่ระดับ 0.3%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขที่มีการรายงานก่อนหน้านี้
บรรดานักลงทุนจะรอดูการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐในสัปดาห์หน้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด