ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (20 ก.พ.) หลังปรับตัวขึ้น 4 วันติดต่อกัน โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานและกลุ่มพลังงาน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 491.90 จุด ลดลง 0.49 จุด หรือ -0.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,795.22 จุด เพิ่มขึ้น 26.67 จุด หรือ +0.34%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 17,068.43 จุด ลดลง 23.83 จุด หรือ -0.14% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,719.21 จุด ลดลง 9.29 จุด หรือ -0.12%
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานร่วงลง 1.8% และหุ้นกลุ่มพลังงานร่วง 1.1% เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงท่ามกลางแนวโน้มอุปสงค์ที่ไม่แน่นอนทั่วโลก
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นเทเมนอส ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ร่วงลง 5.6% หลังคาดการณ์การขยายตัวของผลประกอบการชะลอตัวลงในปีนี้
หุ้นฟอร์เวีย ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ของฝรั่งเศส ร่วง 21% ในช่วง 2 วันทำการ หลังประกาศแผนปรับลดพนักงานในยุโรป
หุ้นเรโนลต์ร่วง 4.2% หลังข้อมูลบ่งชี้ว่า การจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งหมดของเรโนลต์ลดลง 2.9% ในเดือนม.ค.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง หลังแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อวันจันทร์ และเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่า 4 ครั้งในปีนี้
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า การขยายตัวของค่าแรงในยูโรโซนชะลอตัวลงในไตรมาส 4/2566 ซึ่งยืนยันการคาดการณ์ที่ว่าการขยายตัวของค่าแรงได้แตะระดับสูงสุดแล้ว แม้ยังคงอยู่เหนือระดับเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ก็ตาม