ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 2 ในวันศุกร์ (23 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดหลังเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 497.25 จุด เพิ่มขึ้น 2.15 จุด หรือ +0.43%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,966.68 จุด เพิ่มขึ้น 55.08 จุด หรือ +0.70%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 17,419.33 จุด เพิ่มขึ้น 48.88 จุด หรือ +0.28% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,706.28 จุด เพิ่มขึ้น 21.79 จุด หรือ +0.28%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสและตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยเช่นกัน
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังอินวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่สดใส
หุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์และกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นมากที่สุดราว 1%
หุ้นกลุ่มธนาคารบวก 0.8% เนื่องจากหุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 4.9% หลังเปิดเผยผลกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 18 % และประกาศโครงการซื้อคืนหุ้นวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นเมอร์เซเดส เบนซ์ บวก 0.6% หลังบาร์เคลย์สปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงกดดันตลาดได้แก่ การที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ระบุว่า ข้อมูลการขยายตัวของค่าจ้างในไตรมาส 4 ที่ค่อนข้างต่ำนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ ECB เชื่อมั่นว่า เงินเฟ้อได้ปรับลดลงแล้ว
ส่วนนายโจอาคิม นาเจล ประธานธนาคารกลางเยอรมนีหรือบุนเดสแบงก์กล่าวว่า ECB ควรจะชะลอแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเปิดเผยข้อมูลค่าจ้างในไตรมาส 2
นอกจากนี้ เยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจหดตัวลง 0.3% ในไตรมาส 4/2566 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปีหดตัวลงด้วย