ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (28 ก.พ.) ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพฤหัสบดี ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงกำหนดเวลาที่เป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ทั้งนี้ ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 38,949.02 ลดลง 23.39 จุด หรือ -0.06%, ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 5,069.76 จุด ลดลง 8.42 จุด หรือ -0.17% และดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 15,947.74 จุด ลดลง 87.56 จุด หรือ -0.55%
บรรดานักลงทุนรอการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดจับตา ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือนม.ค.
การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา และความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดบางคนทำให้ตลาดเลื่อนการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดเป็นเดือนมิ.ย.จากเดือนมี.ค.
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2566 บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.2% ในไตรมาสดังกล่าว แต่ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 3.3%
นอกเหนือจากข้อมูล PCE นั้น นักลงทุนจะรอดูข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และข้อมูลกิจกรรมการผลิตของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งจะช่วยประเมินความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
นางซูซาน คอลลินส์ ประธานธนาคารเฟดสาขาบอสตันกล่าวในวันพุธ (28 ก.พ.) ว่า เฟดควรใช้เวลาในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ เพื่อให้แน่ใจว่า เฟดจะสามารถรับประกันด้านเสถียรภาพราคาและอัตราการจ้างงานสูงสุด
นอกจากนี้ นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ โดยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยออกมา
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น 1.28% และ 0.35% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.92% และ 0.55% ตามลำดับ
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวในตลาดนั้น หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ร่วง 2.95% หลังมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เปิดการสอบสวนบริษัทเกี่ยวกับประเด็นการผูกขาดตลาด
หุ้นแอพพลายด์ แมตทีเรียลส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลง 2.62% หลังมีรายงานข่าวว่า บริษัทที่ได้รับหมายเรียกจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐในเดือนก.พ.
ส่วนหุ้นบียอนด์ มีต ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช พุ่งขึ้น 30.72% สวนทางตลาดจากแรงซื้อชดเชยการทำชอร์ตเซลล์ หลังจากบริษัทดำเนินการปรับขึ้นราคาสินค้าและปรับลดต้นทุนลงอย่างมากเพื่อพลิกฟื้นผลกำไร
นอกจากนี้ หุ้นบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ อาทิ คอยน์เบส โกลบอล และมาราธอน ดิจิทัล บวก 0.79% และ 2.38% ตามลำดับ หลังจากบิตคอยน์พุ่งขึ้นแตะระดับ 64,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2564