ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด โดยปรับตัวขึ้นต่อจากวานนี้ ขานรับผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 21.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 39,851.21 จุด บวก 339.08 จุด หรือ 0.86%
ดัชนีดาวโจนส์, ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ต่างทำสถิติปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ หลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย และยังคงส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนการชำระหนี้ของบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุน และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นักลงทุนเทน้ำหนักกว่า 60% ต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมิ.ย.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 62.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 52.9% เมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้
โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และคณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่ไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเฟดมีแผนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในการประชุมเดือนมิ.ย.
"เรายังคงคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย., ก.ย. และธ.ค." รายงานระบุ
ด้านนายมาร์ก แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์ของมูดี้ส์ อนาลิติกส์ และนายพอล แอชเวิร์ธ หัวหน้านักวิเคราะห์ของแคปิตัล อิโคโนมิกส์ คาดการณ์เช่นเดียวกันว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิ.ย.
ส่วนนายมิเชล กาเพน นักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์เช่นกันว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้