ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (5 เม.ย.) ลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมา หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงิน และข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาดอาจทำให้เฟดชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 506.55 จุด ลดลง 4.29 จุด หรือ -0.84%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,061.31 จุด ลดลง 90.24 จุด หรือ -1.11%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 18,175.04 จุด ลดลง 228.09 จุด หรือ -1.24% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,911.16 จุด ลดลง 64.73 จุด หรือ -0.81%
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. และปรับตัวลง 1.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนม.ค.
หุ้นกลุ่มสาธาณูปโภค, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม ร่วงลงราว 1.6-2.2%
ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนี, ฝรั่งเศส และสเปน ต่างก็ปรับตัวลงมากกว่า 1%
สหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวขึ้นมากเกินคาดในเดือนมี.ค. ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้เฟดชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินทั้งก่อนและหลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงาน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซนที่ปรับตัวขึ้นด้วย หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด
ดัชนีความผันผวน (euro STOXX volatility index) ซึ่งสะท้อนความวิตกของนักลงทุนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566
ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงิน และนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการเปิดเผยยอดค้าปลีกของยูโรโซนลดลง 0.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ลดน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าอาจลดลง 1.3% ก็ตาม