ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันศุกร์ (12 เม.ย.) หลังนักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ และนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,983.24 จุด ลดลง 475.84 จุด หรือ -1.24%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,123.41 จุด ลดลง 75.65 จุด หรือ -1.46% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,175.09 จุด ลดลง 267.10 จุด หรือ -1.62%
ดัชนีทั้ง 3 ตัวร่วงลงมากกว่า 1% และปรับตัวลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 6.5% หลังเปิดเผยผลกำไรเพิ่มขึ้น 6% แต่คาดการณ์รายได้จากดอกเบี้ยต่ำกว่าคาด
หุ้นเวลล์ ฟาร์โก้ ปรับตัวลงหลังเผยผลกำไรลดลง 7% เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยสุทธิลดลง ขณะที่ความต้องการกู้ยืมเงินอ่อนแอลง
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วง 1.7% หลังเปิดเผยผลประกอบการขาดทุน อันเนื่องจากการจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ลาออก และจ่ายค่าประกันเงินฝาก
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากอิหร่านขู่แก้แค้นอิสราเอลที่ทิ้งระเบิดใส่สถานทูตของอิหร่านในดามัสกัสของซีเรีย
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลบ โดยกลุ่มวัสดุร่วงลงเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุด
หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) และหุ้นอินเทล ร่วงลง 4.2% และ 5.2% ตามลำดับ หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนแจ้งกับบริษัทเทเลคอมรายใหญ่ที่สุดของจีนเมื่อต้นปีนี้ว่าจะเลิกใช้ชิปของต่างชาติภายในปี 2570
หุ้นยูเอส สตีล ร่วง 2.1% หลังผู้ถือหุ้นโหวตอนุมัติการควบรวมกิจการกับบริษัทนิปปอน สตีล คอร์ปอเรชันของญี่ปุ่น