ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (1 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมครั้งล่าสุด และนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี การร่วงลงของหุ้นบริษัทผลิตชิปได้ฉุดดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,903.29 จุด เพิ่มขึ้น 87.37 จุด หรือ +0.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,018.39 จุด ลดลง 17.30 จุด หรือ -0.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,605.48 จุด ลดลง 52.34 จุด หรือ -0.33%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% หลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อวานนี้ (1 พ.ค.) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดได้เน้นย้ำถึงความกังวลว่าข้อมูลที่มีการเปิดเผยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 นั้น ไม่ได้ทำให้เฟดมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า แม้ว่าเฟดยังคงมุ่งเน้นในเรื่องการฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% แต่เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11-12 มิ.ย.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 4.6% หลังการแถลงข่าวของนายพาวเวล ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลของนักลงทุน หลังจากที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนกังวลว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 5% และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ไรอัน เดทริก หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดของบริษัท Carson Group กล่าวว่า "พาวเวลไม่ได้ส่งสัญญาณที่แข็งกร้าว แม้เขารู้ว่าเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหา แต่เขายังคงมีมุมมองเป็นบวกว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า และสิ่งที่เป็นปัจจัยหนุนตลาดคือการที่เขาส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป"
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ โดยเขาระบุถึงข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานลดลงแตะระดับระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี
สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 325,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 8.488 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ.2564
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS เป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.6% และดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.26% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ปรับตัวขึ้น 1.14% และ 0.84% ตามลำดับ
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะจ่ายเงิน 6.48 พันล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการถูกดำเนินคดีในสหรัฐจากโจทก์หลายพันรายที่อ้างว่าผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นของบริษัทเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งรังไข่
หุ้นอะเมซอน ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด เนื่องจากกระแสความนิยมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยให้ธุรกิจคลาวด์คอมพิวติงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) และหุ้นซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์ ร่วงลง 9% และ 14% ตามลำดับ หลังจากบริษัทผลิตชิปทั้ง 2 แห่งเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นสตาร์บัคส์ ร่วงลง 15.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี
หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ คอร์ป (CVS Health Corp) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพและเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 16.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรที่ต่ำกว่าคาด และปรับลดคาดการณ์ตัวเลขกำไรในปีงบการเงิน 2567
ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัท 310 แห่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดย 77% ของบริษัทเหล่านี้รายงานผลประกอบการที่สูงเกินคาด
สำหรับข้อมูลแรงงานที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 192,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 183,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 208,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเพียง 243,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 303,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.8% ในเดือนเม.ย.