ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งกว่า 100 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ดีดตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อสภาคองเกรสในคืนนี้
ณ เวลา 00.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 39,483.16 จุด บวก 138.37 จุด หรือ 0.35% ขณะที่ดัชนี S&P 500 บวก 0.29% และ Nasdaq บวก 0.18%
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า การที่เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเกินไปและนานเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
"แม้มีความคืบหน้าในการปรับลดเงินเฟ้อและลดความร้อนแรงในตลาดแรงงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อไม่ใช่ความเสี่ยงประการเดียวที่เราเผชิญ แต่การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ช้าเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจสร้างความอ่อนแอต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน" นายพาวเวลกล่าวในแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐในวันนี้ ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้
นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับตลาดแรงงาน แม้มีการชะลอตัวลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า เงินเฟ้อได้ชะลอตัวลง ขณะที่เฟดยังคงมีความมุ่งมั่นในการทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมาย 2%
"หลังจากที่ขาดความคืบหน้าในการทำให้เงินเฟ้อไปสู่เป้าหมาย 2% ในช่วงแรกของปีนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือนครั้งล่าสุดก็ได้แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้า และถ้าหากยังคงมีข้อมูลที่ดีปรากฎออกมาอีก ก็จะช่วยให้เรามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังปรับตัวไปสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน" นายพาวเวลกล่าว
ขณะเดียวกัน นายพาวเวลกล่าวว่า ข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ชะลอตัวก็ตาม
"อุปสงค์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย แม้มีการชะลอตัวลง" นายพาวเวลกล่าว
ด้านนายไมค์ วิลสัน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวเตือนนักลงทุนให้ระวังการปรับฐานอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นสหรัฐ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
"ผมคิดว่ามีแนวโน้มอย่างมากที่ดัชนี S&P 500 จะปรับฐาน 10% ในระหว่างนี้จนถึงการเลือกตั้ง และตลาดจะปรับตัวอย่างผันผวนในไตรมาส 3" นายวิลสันกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อ Bloomberg Television
นายวิลสันกล่าวว่า ตลาดหุ้นยังคงถูกกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งการที่บริษัทต่างๆ มีอำนาจลดลงในการกำหนดราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ
"บริษัทโดยเฉลี่ยไม่ได้มีผลประกอบการที่ดี โดยดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้นเกือบ 17% นับตั้งแต่ต้นปีนี้นั้น ได้แรงหนุนจากบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง และค่า P/E ที่พุ่งขึ้นก็ได้ทำให้ราคาหุ้นไม่เป็นที่น่าสนใจ" นายวิลสันกล่าว