ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และหันไปซื้อหุ้นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ ท่ามกลางความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงอย่างหนัก หลังจากเงินเยนแข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าทางการญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อพยุงค่าเงินเยน
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 41,668.86 จุด ลดลง 555.16 จุด หรือ -1.31% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 18,020.17 จุด เพิ่มขึ้น 187.84 จุด หรือ +1.05% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ 2,965.61 จุด ลดลง 4.78 จุด หรือ -0.16%
ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.94% โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียดีดตัวขึ้น 0.23%
ดัชนี Nasdaq ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงเกือบ 2% ในวันพฤหัสบดี เนื่องจากนักลงทุนย้ายการลงทุนจากกลุ่มเทคโนโลยีไปยังหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ โดยดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำและเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พุ่งขึ้น 3.6% ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้ของบริษัทขนาดเล็ก
สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.3% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.4% จากระดับ 3.4% ในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 74% ในวันพุธ (10 ก.ค.)