ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานพุ่งเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 21.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 41,324.57 จุด บวก 126.49 จุด หรือ 0.31% ขณะที่ดัชนี S&P 500 บวก 0.41% และ Nasdaq บวก 0.47%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 243,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.2566 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 229,000 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 1.867 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.863 ล้านราย
ดัชนี Nasdaq ฟื้นตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากดิ่งลง 2.8% วานนี้ ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2565 และปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 18,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงอย่างหนักของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์
นักลงทุนแห่เทขายหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์วานนี้ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ไต้หวันควรจ่ายเงินให้กับสหรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปกป้องไต้หวัน
ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเกิดความวิตกเกี่ยวกับพันธกรณีของสหรัฐในการปกป้องไต้หวัน หากถูกจีนโจมตี ในกรณีที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. และกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น แอปเปิ้ล, เมตา แพลตฟอร์มส์ อิงค์ และเน็ตฟลิกซ์ ต่างปรับตัวลงวานนี้ หลังมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังพิจารณาออกมาตรการที่เข้มงวดจำกัดการส่งออกไปยังจีน หากทางบริษัทยังคงอนุญาตให้บริษัทจีนเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐ