ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (19 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงการเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียน และปัญหาระบบเทคโนโลยีล่มทั่วโลก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 510.03 จุด ลดลง 3.98 จุด หรือ -0.77%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,534.52 จุด ลดลง 52.03 จุด หรือ -0.69%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 18,171.93 จุด ลดลง182.83 จุด หรือ -1.00% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,155.72 จุด ลดลง 49.17 จุด หรือ -0.60%
ดัชนี STOXX 600 ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ และร่วงลงกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์มากที่สุดในปีนี้
การซื้อขายน้ำมัน, ก๊าซ, พลังงาน, หุ้น, สกุลเงิน และพันธบัตรเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากการหยุดชะงักของระบบไซเบอร์ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทบริการทางการเงินและธนาคารตั้งแต่อังกฤษไปจนถึงสิงคโปร์
หุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการ ร่วงหนักที่สุด 2.1% หลังบริษัทอีโวลูชันของสวีเดนเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาด
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วง 2.1% เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และกลุ่มพลังงานร่วงเกือบ 1% ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วง 1% ในวันศุกร์ และร่วงลงเกือบ 9% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วันแล้ว ขณะที่นักลงทุนกังวลกับสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ และความเป็นไปได้ในการออกกฎการค้าที่แข็งกร้าวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการขายหุ้นเทคโนโลยีอย่างรุนแรง
การขาดทิศทางนโยบายจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังจากการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนั้น ได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนด้วย