ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดในแดนบวกในวันนี้ (22 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินโอกาสที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สองในการเลือกตั้งเดือนพ.ย.นี้ หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ประกาศถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567
ณ เวลา 20.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 40,414.49 จุด บวก 126.96 จุด หรือ +0.32%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไบเดนประกาศถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ และประกาศสนับสนุนนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีนี้
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การถอนตัวของไบเดนอาจทำให้นักลงทุนต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์การซื้อขาย เพราะเดิมทีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า หากพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้ง ก็อาจนำไปสู่ภาระทางการคลังของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ตลาดอาจได้ประโยชน์หากรัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มจะครองเสียงข้างมากได้แค่สภาเดียว
พอล แอชเวิร์ธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือของ Capital Economics กล่าวว่า "ทรัมป์ยังคงเป็นตัวเต็งที่จะชนะการเลือกตั้ง แต่โอกาสชนะของเขาลดลงเล็กน้อยเมื่อต้องเจอกับแฮร์ริส เทียบกับตอนที่เจอกับไบเดน"
"แฮร์ริสมีโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองต่อชาวอเมริกันในการโต้วาทีประธานาธิบดีครั้งที่สอง ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 ก.ย.นี้ แต่ทีมหาเสียงของทรัมป์อาจให้เขาไม่ไปดีเบต หากไม่อยากให้เขาเผชิญหน้ากับอดีตอัยการคนนี้"
สัปดาห์นี้ นักลงทุนต่างจับตาผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Alphabet และ Tesla เพื่อประเมินว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงหลังนี้จะสามารถคงโมเมนตัมต่อไปได้หรือไม่
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคอยติดตามข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ และ GDP ไตรมาส 2/2567 (ประมาณการเบื้องต้น) ของสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และปรับลดลงอีก 2 ครั้ง ภายในสิ้นปี