ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลง โดยดัชนีนิกเกอิดิ่งลงเกือบ 5% หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐถูกเทขายอย่างหนักในวันพฤหัสบดี (1 ส.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญภาวะถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตที่อ่อนแอ และตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่สูงเกินคาด
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดภาคเช้าที่ระดับ 36,261.85 จุด ร่วงลง 1,864.48 จุด หรือ -4.89%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 16,950.59 จุด ลดลง 354.37 จุด หรือ -2.05% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,919.32 จุด ลดลง 13.07 จุด หรือ -0.45%
ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดิ่งลง 3.19% โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ร่วงลง 2.14%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียช่วงเช้านี้ได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดทำให้เกิดกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และยังทำให้นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความล่าช้าเกินไปในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 46.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 จากระดับ 48.5 ในเดือนมิ.ย. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.8
ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานในภาคการผลิตที่หดตัวลง
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 14,000 ราย สู่ระดับ 249,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2566 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 236,000 ราย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเช้านี้ ทางการเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.5%