ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 500 จุดในวันนี้ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันแรกของเดือนก.ย.
ณ เวลา 23.51 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 41,056.37 จุด ลบ 506.71 จุด หรือ 1.22%
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดทำการวานนี้ เนื่องในวันแรงงานสหรัฐ
การซื้อขายในวันนี้ถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 3.9% รวมทั้งแรงขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ หลังจากที่ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47.2 ในเดือนส.ค. จากระดับ 46.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2566 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 47.5
ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยได้รับผลกระทบจากภาวะหดตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 2.3% ในเดือนดังกล่าวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงในเดือนกันยายนของทุกปีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการทรุดตัวลง 9.3% ในปี 2565
ขณะเดียวกัน ในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งในสหรัฐ จะทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยิ่งมีแนวโน้มดิ่งลงในเดือนกันยายน เนื่องจากนักลงทุนมักทำการเทขายหุ้นอย่างหนักในเดือนกันยายนและตุลาคมในปีเลือกตั้ง ก่อนที่จะกลับเข้าซื้อหุ้นในไตรมาส 4
ส่วนเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นปรับตัวดีที่สุด ตามมาด้วยเดือนพฤศจิกายนและตุลาคม
มอร์แกน สแตนลีย์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ออกรายงานเตือนนักลงทุนให้จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่ หลังจากที่ตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนักจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 600 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ส.ค. และทรุดตัวลงกว่า 1,000 จุดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 177,000 ตำแหน่ง และชะลอตัวจากระดับ 179,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ อัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.1%
ข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ตัดสินใจผิดพลาดด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นเวลานานเกินไป
"ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานอย่างหนักในช่วงต้นเดือนส.ค. โดยมีสาเหตุสำคัญจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนก.ค.ในวันที่ 2 ส.ค.ที่อ่อนแอเกินคาด"
"ตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนส.ค.จะมีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดหุ้นในอนาคต และจะเป็นบททดสอบการฟื้นตัวของตลาด"
"ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด และอัตราว่างงานที่ต่ำกว่าคาดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้นแก่นักลงทุนว่าความเสี่ยงต่อการขยายตัวได้ลดน้อยลง ซึ่งจะปูทางให้มูลค่าหุ้นยังคงทรงตัวในระดับสูง"
"ในทางกลับกัน หากมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแออีกครั้ง รวมทั้งมีการพุ่งขึ้นของอัตราว่างงาน สิ่งนี้ก็จะสร้างความตื่นตระหนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดตัวลงอย่างรุนแรง และจะส่งแรงกกดดันครั้งใหม่ต่อมูลค่าหุ้นในตลาด" รายงานระบุ
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.ในวันศุกร์นี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.2% ในเดือนส.ค. จากระดับ 4.3% ในเดือนก.ค.