ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (3 ก.ย.) โดยลดลงมากที่สุดในรอบ 1 เดือน เนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และนักลงทุนระมัดระวังในการซื้อขายก่อนการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 519.84 จุด ลดลง 5.10 จุด หรือ -0.97%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,575.10 จุด ลดลง 71.32 จุด หรือ -0.93%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 18,747.11 จุด ลดลง 183.74 จุด หรือ -0.97% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,298.46 จุด ลดลง 65.38 จุด หรือ -0.78%
ตลาดหุ้นยุโรปเริ่มปรับตัวลงในช่วงเช้า หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ยังคงบ่งชี้ถึงกิจกรรมการผลิตที่ซบเซา ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานนำตลาดปรับตัวลง โดยร่วง 2.8% และ 3.3% ตามลำดับ
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลง เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซาของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ ขณะที่รายงานเกี่ยวกับแนวโน้มการทำข้อตกลงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันของลิเบียถ่วงราคาน้ำมันดิบลง
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งอาจจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในแถบยูโรโซนในสัปดาห์นี้ด้วย
บรรดานักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนนี้ แม้ผู้กำหนดนโยบายจำนวนมากย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังและพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลง 2.3% ตามหุ้นกลุ่มเดียวกันในสหรัฐ
หุ้นโรลส์-รอยซ์ บวก 1.7% หลังร่วงลงอย่างหนักจากข่าวเครื่องยนต์เครื่องบินแอร์บัส A350 ของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคมีปัญหา และต่อมาสายการบินเปิดเผยว่า ได้ตรวจพบเครื่องบินรุ่นดังกล่าวจำนวน 15 เครื่องในฝูงบินที่จำเป็นต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนประกอบเครื่องยนต์ใหม่