ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุด ทะลุแนว 42,000 จุด หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ 0.50% ในการประชุมวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยขาลงอย่างน้อยจนถึงปี 2569
นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย หลังการเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด
ณ เวลา 20.31 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 42,053.83 จุด บวก 550.73 จุด หรือ 1.33%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย
นอกจากนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 1.83 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ เฟดมีมติ 11 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งขณะนั้นเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
หากไม่นับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งสุดท้ายที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เกิดขึ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569
โดยรวมแล้ว Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2.00% หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยวานนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนเทน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ย. และปรับลดอีก 0.50% ในเดือนธ.ค. แม้ว่ารายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเฟดวานนี้บ่งชี้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 ครั้งเพียงครั้งละ 0.25%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 67.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. และให้น้ำหนัก 33.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50%
ส่วนในการประชุมเดือนธ.ค. นักลงทุนให้น้ำหนักสูงสุด 50.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.00-4.25% ขณะที่ให้น้ำหนัก 34.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% และให้น้ำหนัก 15.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00%