ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.) หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และบ่งชี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกนั้นจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง ซึ่งเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 521.67 จุด เพิ่มขึ้น 7.08 จุด หรือ +1.38%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,615.41 จุด เพิ่มขึ้น 170.51 จุด หรือ +2.29%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,002.38 จุด เพิ่มขึ้น 290.89 จุด หรือ +1.55% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,328.72 จุด เพิ่มขึ้น 75.04 จุด หรือ +0.91%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ หลังตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก โดยตลาดหุ้นเยอรมนีพุ่งขึ้นปิดตลาดที่ระดับสูงสุดตลอดกาล
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี พุ่งขึ้น 3.5% ตามหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ พุ่ง 3% หลังราคาโลหะพื้นฐานส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นหลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยและดอลลาร์อ่อนค่าลง
แต่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มเทเลคอม ปรับตัวลงมากกว่า 1%
เฟดเริ่มต้นวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันพุธนี้ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 4.75%-5.00%
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดเปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยบ่งชี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราการว่างงานไว้ที่ระดับต่ำ เนื่องจากเงินเฟ้อได้ลดลงแล้ว
หลังจากการตัดสินใจของเฟด นักวิเคราะห์เริ่มสงสัยว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะดำเนินการอย่างไรต่อไป หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย 0.25% ในเดือนมิ.ย.และก.ย.
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ลงมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.0% ในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่า จะระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต และตัดสินใจที่จะยังไม่เร่งขายพันธบัตรที่ถือครองไว้ออกมา
ด้านธนาคารกลางนอร์เวย์คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีที่ 4.50% ในวันพฤหัสบดี และระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นจะต้องรอจนกว่าจะถึงไตรมาสแรกของปีหน้า