ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันศุกร์ (27 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดทำให้มีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ส่วนดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอยู่ใกล้กับระดับสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,313.00 จุด เพิ่มขึ้น 137.89 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,738.17 จุด ลดลง 7.20 จุด หรือ -0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,119.59 จุด ลดลง 70.70 จุด หรือ -0.39%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.59%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.62% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.95%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.3% จากระดับ 2.5% ในเดือนก.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.2% ในเดือนก.ค.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนก.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.2% ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 70.1 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 69.3 จากระดับ 69.0 ในเดือนส.ค.
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดว่ามีโอกาส 52.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า เพิ่มขึ้นจาก 50% ก่อนการเปิดเผยข้อมูล
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจุดสนใจของตลาดในขณะนี้อยู่ที่การเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยหุ้นบวกนำโดยกลุ่มพลังงานและกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งปรับตัวขึ้น 2.11% และ 1.1% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นลบนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มวัสดุซึ่งปรับตัวลง 0.96% และ 0.23% ตามลำดับ
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ (Bristol-Myers Squibb) เพิ่มขึ้น 1.58% หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ อนุมัติยารักษาโรคจิตเภทของบริษัท
หุ้นคอสต์โก โฮลเซล (Costco Wholesale) ร่วง 1.76% หลังเปิดเผยรายได้ไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นเอ็นวิเดีย (Nvidia) ร่วง 2.17% ซึ่งส่งผลถ่วงดัชนี Nasdaq ลดลง