ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (4 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ได้คลายความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้เนื่องจากความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 518.56 จุด เพิ่มขึ้น 2.27 จุด หรือ +0.44%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,541.36 จุด เพิ่มขึ้น 63.58 จุด หรือ +0.85%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,120.93 จุด เพิ่มขึ้น 105.52 จุด หรือ +0.55% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,280.63 จุด ลดลง 1.89 จุด หรือ -0.02%
แม้ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ แต่ลดลงในรอบสัปดาห์นี้ โดยดัชนี STOXX 600 ลดลง 1.8% เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
การจ้างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 เดือนในเดือนก.ย. และอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.1% ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจซึ่งอาจไม่จำเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมากในช่วงที่เหลือของปีนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจนำตลาดปรับตัวขึ้น โดยพุ่งขึ้น 1.8%
หุ้นกลุ่มยานยนต์ พุ่ง 1.6% หลังฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า จะเดินหน้าเก็บภาษีอย่างมากกับรถยนต์ไฟฟ้าของจีน แม้เยอรมนีซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน คัดค้านก็ตาม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซนซึ่งปรับตัวสวนทางกับราคานั้น ปรับตัวขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงาน
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งมักถูกซื้อขายเป็นตัวแทนของพันธบัตร ปรับตัวลง 0.7%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี STOXX 600 ในสัปดาห์นี้ ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและสินค้าในครัวเรือน รวมถึงหุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวลงมากที่สุด
ส่วนหุ้นกลุ่มบริษัทเดินเรือ อาทิ โมลเลอร์-เมอส์ก (Moller-Maersk) ของเดนมาร์ก และหุ้นฮาแพก ลอยด์ (Hapag Lloyd) ของเยอรมนี ร่วงลง 5.2% และ 16% ตามลำดับ หลังคนงานและผู้ประกอบการท่าเรือของสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงที่จะยุติการสไตรก์ที่ท่าเรือชายฝั่งตะวันออกและชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกได้เร็วกว่าที่คาดไว้