ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพุธ (30 ต.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ฉุดตลาดลง แต่หุ้นในกลุ่มบริษัทขนาดกลางกลับปรับตัวขึ้น แม้การเปิดเผยงบประมาณล่าสุดของอังกฤษนั้นมาพร้อมกับการประกาศขึ้นภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,159.63 จุด ลดลง 59.98 จุด หรือ -0.73%
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และหุ้นจีเอสเค (GSK)
แต่หุ้นบริษัทขนาดกลางปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่างบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลพรรคแรงงานในอังกฤษจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากอย่างที่ตลาดวิตกกังวล
ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษกล่าวว่า จะเพิ่มภาษีเป็น 4 หมื่นล้านปอนด์ (5.2 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อปี โดยส่วนใหญ่จะเรียกเก็บจากธุรกิจและคนร่ำรวย
หุ้นกลุ่มผับปรับตัวขึ้น หลังจากรีฟส์ประกาศลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผับ และขยายการลดอัตราภาษีธุรกิจในอังกฤษสำหรับภาคการค้าปลีกและการบริการ โดยหุ้นมาร์สตัน (Marstons) พุ่งขึ้น 3.4%
หุ้นของบริษัทพนัน เอนเทน (Entain) พุ่งขึ้น 8.6% หลังจากที่รีฟส์ไม่ปรับขึ้นภาษีในธุรกิจพนัน
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ร่วง 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ประธานในประเทศจีนกำลังถูกสอบสวนและกำลังให้ความร่วมมือกับทางการจีน
หุ้นจีเอสเค (GSK) ร่วงลง 3% หลังจากที่บริษัทเตือนว่ายอดขายวัคซีนจะลดลงในปีนี้ เนื่องจากยอดขายวัคซีนไวรัส RSV และวัคซีนป้องกันงูสวัดในไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่คาดไว้
หุ้นดิอาจีโอ (Diageo) ร่วง 2.6% หลังจากที่หุ้นคัมพารี (Campari) คู่แข่งจากอิตาลีร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากผลกำไรไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้