ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันอังคาร (5 พ.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีภาคบริการที่สูงเกินคาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,221.88 จุด เพิ่มขึ้น 427.28 จุด หรือ +1.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,782.76 จุด เพิ่มขึ้น 70.07 จุด หรือ +1.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,439.17 จุด เพิ่มขึ้น 259.19 จุด หรือ +1.43%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีดีดตัวขึ้น หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 จากระดับ 54.9 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.8
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น คาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผล เนื่องจากโพลล่าสุดบ่งชี้ว่าคะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน และคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต สูสีกันจนยังไม่สามารถคาดเดาผู้ชนะได้
อย่างไรก็ดี อัตราต่อรองของทรัมป์ในตลาดพนันปรับตัวดีขึ้นในวันอังคาร ซึ่งนักลงทุนหลายรายมองว่าเป็นตัวชี้วัดการเลือกตั้ง
ร็อบ ฮาเวิร์ธ นักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท U.S. Bank Wealth Management แสดงความเห็นว่า ตลาดยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะรอดูผลการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากคะแนนของคู่ชิงจากทั้งสองพรรคสูสีกันมาก นักลงทุนจึงควรปรับโพสิชันเล็กน้อยเพื่อรับมือกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะออกมาแบบใดก็ตาม
ฮาเวิร์ธยังกล่าวด้วยว่า ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นต่างก็มองว่าการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ มีความสำคัญเช่นกัน โดยหากพรรคใดไม่สามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จในทั้งสองสภา ก็อาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลแบบแยกขั้ว ซึ่งจะจำกัดความสามารถของประธานาธิบดีในการบังคับใช้นโยบายที่สำคัญ
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนนั้น ยังคงเคลื่อนไหวเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ระดับ 19.46 จุด
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 1.83% และ 1.67% ตามลำดับ
หุ้นทรัมป์ มีเดีย แอนด์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Trump Media & Technology Group) ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ทรูธ โซเชียล (Truth Social) ผันผวนอย่างหนัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้ง โดยในระหว่างวัน ราคาหุ้นทะยานขึ้น 18.64% และดิ่งลง 8.42% ก่อนที่จะปิดตลาดลดลง 1.16% นอกจากนี้ หุ้นทรัมป์ มีเดีย ยังถูกระงับการซื้อขายหลายครั้งในระหว่างวันเนื่องจากราคาหุ้นมีความผันผวนอย่างมาก
ตลาดจับตาการแถลงผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) โดยนักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้ แต่แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 19.2% สู่ระดับ 8.44 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8.41 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 7.08 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
ทั้งนี้ การนำเข้าในเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 3% สู่ระดับ 3.523 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงสู่ระดับ 2.679 แสนล้านดอลลาร์