ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพุธ (6 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสร้างบ้านและกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่า แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,166.68 จุด ลดลง 5.71 จุด หรือ -0.07%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นจากความคาดหวังที่ว่า จะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบและการลดภาษีสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์เรื่องการกำหนดภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐภายใต้รัฐบาลของทรัมป์ได้สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินต่าง ๆ อาทิ ยูโรและปอนด์ รวมถึงตลาดหุ้นยุโรป
รัสส์ โมลด์ ผู้อำนวยการด้านการลงทุนของเอเจ เบลล์ (AJ Bell) กล่าวว่า "ผลกระทบของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อผลกำไรของบริษัท และการที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ลดลงเร็วอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ นับเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องพิจารณาหลังจากที่ตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ"
ชัยชนะของทรัมป์หนุนหุ้นกลุ่มกลาโหม อันเนื่องมาจากคำเตือนของเขาที่ว่า สหรัฐจะลดการสนับสนุนด้านการทหารในยุโรป และกดดันให้สมาชิกนาโต (NATO) เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็น 2% หรือมากกว่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
ดัชนีหุ้นกลุ่มการบินและกลาโหม พุ่งขึ้น 3.4%
หุ้นเพอร์ซิมมอน (Persimmon) ซึ่งเป็นบริษัทสร้างบ้าน ร่วงลง 8.6% หลังจากบริษัทแสดงความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่สูงขึ้นซึ่งอาจเกิดขึ้นในการเจรจาต่อรองด้านราคาในปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มสร้างบ้าน ร่วงลง 4.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และโลหะมีค่า ร่วงลง 2.3% เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวลง
แต่หุ้นแอชเทด (Ashtead) พุ่งขึ้น 5.5% สวนทางตลาด โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าการชนะของทรัมป์จะเป็นผลดีต่อบริษัทให้เช่าอุปกรณ์รายใหญ่ที่สุดอันดับสองในสหรัฐฯ
หุ้นมาร์คส์ แอนด์ สเปนเซอร์ (Marks & Spencer) พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากผู้ค้าปลีกรายนี้คาดการณ์ว่าจะมี ความก้าวหน้ามากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงบการเงิน หลังจากรายงานกำไรครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นเกินคาด 17.2%
ขณะนี้นักลงทุนจะจับตาการตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 พ.ย.) ซึ่งคาดว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็มีกำหนดประกาศอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ด้วยเช่นกัน