ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลง 2% สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือนในวันอังคาร (12 พ.ย.) เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ที่พึ่งพารายได้จากตลาดจีน นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียนถ่วงตลาดลงด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 502.23 จุด ลดลง 10.14 จุด หรือ -1.98%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,226.98 จุด ลดลง 199.90 จุด หรือ -2.69%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,033.64 จุด ลดลง 414.96 จุด หรือ -2.13% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,025.77 จุด ลดลง 99.42 จุด หรือ -1.22%
ดัชนี STOXX 600 ร่วงลงวันเดียวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.หลังจากพุ่งขึ้น 1% เมื่อวันจันทร์
ตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดัน ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแนวโน้มจะปรับขึ้นภาษีศุลกากร
สินทรัพย์ที่เกี่ยวกับจีนปรับตัวลงทั่วโลก ขณะที่คาดว่าทรัมป์จะเลือก มาร์โก้ รูบิโอ วุฒิสมาชิกสหรัฐเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา รูบิโอสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวกับคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ รวมถึงจีน
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานร่วง 3.7% เนื่องจากราคาโลหะส่วนใหญ่ลดลง โดยหุ้นเหมืองแร่ KGHM ของโปแลนด์ร่วง 9.2%
หุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและครัวเรือน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทสินค้าหรูหราที่พึ่งพาตลาดจีน ร่วงลง 2.4% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราดิ่งลงเกือบ 4%.
แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทรงตัว โดยได้แรงหนุนจากหุ้นเทเมนอซ (Temenos) บริษัทด้านซอฟต์แวร์ธนาคารของสวิส ซึ่งพุ่งขึ้น 4% หลังบริษัทวางแผนที่จะเร่งการขยายตัวในระยะ 4 ปี
หุ้นไบเออร์ของเยอรมนี ร่วง 14.5% หลังเตือนว่าตลาดการเกษตรที่อ่อนแออาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในปีหน้า
เงินเฟ้อของเยอรมนีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.4% ในเดือนต.ค. ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงในเดือนนี้เนื่องจากชัยชนะของทรัมป์ และการล่มสลายของรัฐบาลเยอรมนี
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์นี้