ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (13 พ.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,958.19 จุด เพิ่มขึ้น 47.21 จุด หรือ +0.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,985.38 จุด เพิ่มขึ้น 1.39 จุด หรือ +0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,230.74 จุด ลดลง 50.66 จุด หรือ -0.26% กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนก.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. สอดคล้องกับการคาดการณ์ หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย.เช่นกัน
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับการคาดการณ์ หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนก.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. สอดคล้องกับการคาดการณ์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย.เช่นกัน
แองเจโล เคอร์คาฟาส นักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า นักลงทุนคลายความวิตกกังวลหลังจากดัชนี CPI ไม่ได้สูงกว่าการคาดการณ์ และการที่ CPI ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์เช่นนี้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า หลังการเปิดเผยดัชนี CPI นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 82% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ให้น้ำหนักเพียง 58.7% เมื่อวันจันทร์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวผันผวน โดยหลังจากการเปิดเผยดัชนี CPI อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงแตะระดับ 4.382% แต่หลังจากนั้นไม่นาน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงถึง 4.468% เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงมีความหวังว่าคณะบริหารชุดใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์จะออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ โดยขณะนี้มีรายงานว่าพรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งทำให้พรรคครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรสได้สำเร็จ และจะเปิดทางให้ทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.14% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.84% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลง 0.57% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.31%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นสปิริต แอร์ไลน์ (Spirit Airlines) ร่วงลง 59% หลังจากมีรายงานว่าทางสายการบินได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลาย
นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในงานเสวนาที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ย. เวลา 15.00 น. ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับวันศุกร์ที่ 15 พ.ย. เวลา 03.00 น.ตามเวลาไทย