ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (15 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียน, ความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบด้านนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อเศรษฐกิจโลกและภาคธุรกิจ รวมถึงการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 503.12 จุด ลดลง 3.91 จุด หรือ -0.77%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,269.63 จุด ลดลง 42.17 จุด หรือ -0.58%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,210.81 จุด ลดลง 52.89 จุด หรือ -0.27% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,063.61 จุด ลดลง 7.58 จุด หรือ -0.09%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่า ไม่มีความจำเป็นจะต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความเห็นดังกล่าวหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและกดดันราคาหุ้น
หุ้นยุโรปเผชิญกับแรงขายอีกครั้งในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากคาดว่าทรัมป์จะเลือกนักวิจารณ์จีนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
หุ้นกลุ่มบริษัทเภสัชกรรมในยุโรปร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากทรัมป์เลือก โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่เคยเผยแพร่ข้อมูลผิดเกี่ยวกับวัคซีน มาเป็นรมว.กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์
การเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียนกดดันตลาดด้วย
ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.7% โดยหุ้นเอเอสเอ็มแอล (ASML) บริษัทผลิตชิป ร่วงลงมากที่สุด หลังจากที่บริษัทแอพพลายด์ แมตทีเรียลส์ (Applied Materials) ของสหรัฐคาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกต่ำกว่าการคาดการณ์ ซึ่งเป็นสัญญาณของความต้องการที่ซบเซาสำหรับอุปกรณ์การผลิตชิป นอกเหนือจากชิปที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)