ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุด หลังการเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองที่สูงกว่าคาด และตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ณ เวลา 23.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 43,760.41 จุด บวก 351.94 จุด หรือ 0.81%
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซีต่างดีดตัวขึ้น ขานรับบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุ 98,000 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 3.4% สู่ระดับ 3.96 ล้านยูนิตในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.95 ล้านยูนิต
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนพากันลดน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค. ขณะที่เพิ่มน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าว ส่งผลให้ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักต่อคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้ 50/50
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 52% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากให้น้ำหนักมากถึง 72% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 48% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากให้น้ำหนักเพียง 27% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นักลงทุนพากันปรับคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัสเมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยนายพาวเวลระบุว่า ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย