ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 519.20 จุด ลดลง 0.75 จุด หรือ -0.14%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,420.94 จุด ลดลง 2.46 จุด หรือ -0.03%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,426.27 จุด เพิ่มขึ้น 27.11 จุด หรือ +0.13% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,311.76 จุด เพิ่มขึ้น 10.14 จุด หรือ +0.12%
ดัชนี STOXX 600 ปิดลดลงหลังการซื้อขายผันผวน แม้หุ้นกลุ่มธนาคารยูโรโซนที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น 0.3% ก็ตาม
ECB มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมในวันพฤหัสบดีตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิ.ย.
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 3.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 3.40% ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 3.15%
ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อลดลง และการหารือเริ่มเปลี่ยนไปสู่คำถามที่ว่า การปรับลดดังกล่าวเร็วพอที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ซบเซาและยังเสี่ยงต่อสงครามการค้าใหม่กับสหรัฐฯ หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนให้ความสนใจกับคำกล่าวของคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB ที่เน้นย้ำว่า การต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่สิ้นสุด ซึ่งหลังจากนั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีก็ได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
ข้อมูลจาก LSEG บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนคาดการณ์ในขณะนี้ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมประมาณ 1.20% ภายในสิ้นปี 2568
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นมากกว่า 8% แล้วในปีนี้จากความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 27%
ในปีนี้ยูโรโซนพยายามรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว, ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส และอุปสงค์ที่อ่อนแอจากจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทส่วนใหญ่ในยุโรปพึ่งพาการส่งออก ดังนั้นสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จะเป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2568
ธนาคารกลางสวิสฯ และธนาคารกลางเดนมาร์กปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงด้วย
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 1.7% ขณะที่กลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้น 0.9%
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นดิอาจีโอ (Diageo) ปรับตัวขึ้น 2.7% หลังจากยูบีเอส (UBS) ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นตัวนี้ โดยระบุถึงสัญญาณเชิงบวกสำหรับธุรกิจในสหรัฐฯ ของผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สัญชาติอังกฤษรายนี้
หุ้นลอนซา (Lonza) บริษัทผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 4.9% หลังจากมีแผนที่จะถอนตัวออกจากธุรกิจผลิตแคปซูลและส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ