ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (17 ธ.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนรอการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 513.66 จุด ลดลง 2.17 จุด หรือ -0.42%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,365.70 จุด เพิ่มขึ้น 8.62 จุด หรือ +0.12%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,246.37 จุด ลดลง 67.44 จุด หรือ -0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,195.20 จุด ลดลง 66.85 จุดหรือ, -0.81%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวลง 1.3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลง หลังข้อมูลเศรษฐกิจจากจีนทำให้เกิดความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมัน
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปถ่วงตลาดลงด้วย โดยร่วงลง 1.8% นำโดยธนาคารของสเปน เช่น ซานตานเดร์ (Santander) และซาบาเดลล์ (Sabadell) ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสเปนลดลง 1.6%
ขณะที่นักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในวันพุธนี้ (18 ธ.ค.) แต่ความสนใจของนักลงทุนมุ่งไปอัตราการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะที่มั่นคง ส่วน BOJ และ BoE จะประกาศอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดี (19 ธ.ค.) ซึ่งนักลงทุนคาดว่า BoE จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
แรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกยังมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ และล่าสุดอยู่ที่ระดับ 4.3790%
สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจในยุโรปนั้น สถาบัน Ifo รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีในเดือนธ.ค.แย่ลงเกินคาด อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจจากสถาบัน ZEW บ่งชี้ว่า นักลงทุนกลับมามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น โดยส่วนใหญ่คาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเยอรมนีหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ก.พ. 2568