ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน และร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,084.61 จุด ลดลง 20.71 จุด หรือ -0.26%
ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. โดยหุ้นกลุ่มการเงินถ่วงตลาดลงมากที่สุด โดยกลุ่มธนาคารลดลง 0.5% และกลุ่มประกันวินาศภัยลดลง 0.7%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.3% ตามราคาน้ำมันซึ่งร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของความต้องการน้ำมัน
แต่หุ้นกลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 1.2% สวนทางตลาด ตามมาด้วยกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่า หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 1%
ตลาดหุ้นอังกฤษเปิดตลาดด้วยแนวโน้มที่อ่อนแอ โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่เรียกเก็บภาษีสหภาพยุโรป (EU) และจากความกังวลเรื่องการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากร่างงบประมาณที่ทรัมป์สนับสนุนนั้นไม่ผ่านการอนุมัติในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และยอดค้าปลีกของอังกฤษที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดในเดือนพ.ย. ช่วยให้ดัชนี FTSE 100 ลดช่วงติดลบลงได้ในระหว่างวัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลในตลาดก็คือ ยอดขาดดุลงบประมาณที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษหลังเผชิญแรงกดดันหลังจากการประกาศงบประมาณเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา