ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ ก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันที่ 20 ม.ค. เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ณ เวลา 21.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 43,466.02 จุด บวก 312.89 จุด หรือ 0.73%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 3.6% นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวขึ้นมากที่สุดรายสัปดาห์นับตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนพ.ย.2567 หลังการประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายทรัมป์
นักลงทุนคาดการณ์ว่านโยบายของนายทรัมป์ในการปรับลดอัตราภาษีของภาคธุรกิจ และการผ่อนคลายกฎระเบียบ จะช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเอื้อให้ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ การซื้อขายในสัปดาห์นี้ยังได้ปัจจัยบวกจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อสหรัฐ การประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทจำนวน 28 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2567 แล้ว โดยบริษัท 82% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน การซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ซึ่งระบุว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ หากเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวต่อไป
นอกจากนี้ นายวอลเลอร์กล่าวว่า เขาคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งตามมา หากมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อและการว่างงานที่เอื้อต่อการดำเนินการดังกล่าว
"ตราบใดที่ข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลง และยังคงมีทิศทางเช่นนั้นต่อไป ผมก็คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด" นายวอลเลอร์กล่าวในรายการ "Squawk on the Street" ของสถานีข่าว CNBC
ต่อคำถามที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามมาอีกกี่ครั้ง นายวอลเลอร์กล่าวว่า "สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราได้รับ หากเรามีความคืบหน้าอย่างมาก เราก็จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก โดยอาจจะเป็น 3 หรือ 4 ครั้ง แต่ถ้าข้อมูลไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้น เราก็คงปรับลดได้เพียง 2 ครั้ง หรืออาจจะเป็นครั้งเดียว หากเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นอย่างมาก"
หลังการกล่าวถ้อยแถลงของนายวอลเลอร์ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนมิ.ย. แต่ก็ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.สู่ระดับ 50% และเพิ่มน้ำหนักสู่ระดับ 55% ต่อคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งก่อนสิ้นปี 2568