ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (17 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรป และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากจีน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 523.62 จุด เพิ่มขึ้น 3.57 จุด หรือ +0.69% และปรับตัวขึ้นมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการบวกขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2567
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,709.75 จุด เพิ่มขึ้น 75.01 จุด หรือ +0.98%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,903.39 จุด เพิ่มขึ้น 248.00 จุด หรือ +1.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,505.22 จุด เพิ่มขึ้น 113.32 จุด หรือ +1.35%
หุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น กลุ่มการก่อสร้างและอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 1.6% และ 1.5% ตามลำดับ
การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อจากดัชนีราคาผู้บริโภคในเขตยูโรโซนเป็นไปตามคาดในเดือนธ.ค.
หนังสือพิมพ์ Het Financieele Dagblad ของเนเธอร์แลนด์เปิดเผยว่า แฟรงค์ เอลเดอร์สัน กรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB ยังไม่ได้เสร็จสิ้นการลดอัตราดอกเบี้ย แต่เวลาและขนาดของการผ่อนคลายนโยบายในอนาคตยังไม่แน่นอน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานในเขตยูโรโซนลดลงเป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. 2567
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจของจีน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตที่ 5% ของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน พุ่งขึ้น 2%
แต่หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ลดลง 0.8% หลังบาร์เคลยส์ (Barclays) กล่าวว่ามีความระมัดระวังเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเภสัชกรรมและวิทยาศาสตร์ชีวภาพในยุโรป โดยคาดว่าจะมีความท้าทายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ในสัปดาห์หน้า ความสนใจของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปอยู่ที่การสาบานตนของโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนักลงทุนจะจับตาดูการประกาศนโยบายใหม่ ๆ รวมถึงความเป็นไปได้ในการใช้ภาษีการค้า ซึ่งอาจมีผลกระทบที่สำคัญกับยุโรป