ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (24 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขาย ขณะที่พิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการที่ไร้ทิศทาง และเตรียมพร้อมสำหรับสัปดาห์หน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจจำนวนมากและการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,424.25 จุด ลดลง 140.82 จุด หรือ -0.32%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,101.24 จุด ลดลง 17.47 จุด หรือ -0.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,954.30 จุด ลดลง 99.38 จุด หรือ -0.50%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฉุดตลาดลงมากที่สุด เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึงผู้นำด้านชิปปัญญาประดิษฐ์อย่างอินวิเดีย (Nvidia) ปรับตัวลงหลังจากทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงต้นสัปดาห์
ข้อมูลตลาดบ้านออกมาร้อนแรงกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ผลสำรวจของ S&P Global แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนในเดือนม.ค.เนื่องจากราคาสินค้าสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ รายงานว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสนับสนุนแนวทางที่ระมัดระวังของเฟดในการดำเนินนโยบายการเงินในปีนี้
มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่ 71.1 จากการประเมินครั้งก่อนที่ 73.2
ในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยนั้น ข้อมูลล่าสุดจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนคาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในเดือนมิ.ย.
นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า รวมถึงการประชุมเฟด ขณะเดียวกันก็จะติดตามความคืบหน้าด้านนโยบายจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นักลงทุนกังวลว่าการเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์อาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่เขาพูดถึงนโยบายการค้าหลายครั้งในสัปดาห์นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนดังกล่าว
ทรัมป์กล่าวว่าอาจมีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา จีน และสหภาพยุโรปในวันที่ 1 ก.พ. แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า แผนการที่สำคัญอาจมีการประกาศในวันที่ 1 เม.ย.
ดัชนีหุ้นทั้ง 3 ตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 2.15%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.74% และดัชนี Nasdaq บวก 1.65%
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มบริการสื่อสารเพิ่มขึ้น 1.09% นำตลาด ตามมาด้วยกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเพิ่มขึ้น 1.07%
แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด โดยหุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ (Texas Instruments) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปร่วงลง 7.2% หลังจากบริษัทคาดการณ์ผลกำไรในไตรมาสแรกต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาสต็อกสินค้าล้นในตลาดยานยนต์และตลาดอุตสาหกรรมที่สำคัญ
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ร่วงลง 3.1% ซึ่งถ่วงดัชนี S&P500 ลงมากที่สุด, หุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ลดลง 0.6% และหุ้นเทสลา (Tesla) ลดลง 1.4%
ดัชนีดาวโจนส์ถูกกดดันจากหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) ที่ร่วงลง 1.4% แม้รายงานผลกำไรไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 12%
หุ้นโบอิ้ง (Boeing) ฉุดดัชนีดาวโจนส์ลงด้วย โดยร่วงลง 1.4% หลังจากเตือนว่าบริษัทอาจจะขาดทุนในไตรมาส 4/2567 ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ โดยโบอิ้งมีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันอังคารหน้า (28 ม.ค.)