ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเช่นนี้ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และเทสลา (Tesla) อย่างไรก็ดี ตลาดลดช่วงบวกหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,882.13 จุด เพิ่มขึ้น 168.61 จุด หรือ +0.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,071.17 จุด เพิ่มขึ้น 31.86 จุด หรือ +0.53% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,681.75 จุด เพิ่มขึ้น 49.43 จุด หรือ +0.25%
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 2.87% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 หลังจากอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทเทสลาให้คำมั่นว่าจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นราคาประหยัดซึ่งเป็นรถที่ตลาดรอคอยมานาน ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะเริ่มทดสอบบริการเรียกรถแบบไร้คนขับในเดือนมิ.ย. โดยข่าวดังกล่าวช่วยบดบังปัจจัยลบจากผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ต่ำกว่าคาดของเทสลา
หุ้นเมตา พุ่งขึ้น 1.55% และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนี S&P500 เช่นกัน หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2567 และจำนวนผู้ใช้งานแชตบอต Meta AI รายเดือนทะลุระดับ 700 ล้านราย ขณะที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตาคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ใช้งาน Meta AI จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1 พันล้านรายในปีนี้
หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) ทะยานขึ้น 12.96% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ไตรมาส 4/2567 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
หุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ดิ่งลง 6.18% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และยังได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ธุรกิจคลาวด์คอมพิวติงที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนประเมินการแสดงความเห็นจากซีอีโอของบริษัทเมตาและไมโครซอฟท์ที่ยืนยันว่าจะลงทุนมูลค่ามหาศาลในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยระบุว่าเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถด้านการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ หลังจากที่ดีปซีค (DeepSeek) ธุรกิจสตาร์ตอัปจากจีนประกาศเปิดตัวโมเดล AI ต้นทุนต่ำ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกเทขายออกมาอย่างหนักในวันจันทร์ (27 ม.ค.)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กลดช่วงบวก หลังจากปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 ก.พ.นี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นด้วย
นักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการของสหรัฐฯ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2567 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.3% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 207,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 5.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 74.2 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าทรงตัว หลังจากเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย.
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE จะปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนพ.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 2.8% เช่นกันในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)