ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าช่วยหนุนตลาดด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,646.88 จุด เพิ่มขึ้น 89.07 จุด หรือ +1.04%
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสามารถฝ่าแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 8,600 จุด
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 7.2% ของหุ้น เอ็นเดเวอร์ ไมนิ่ง (Endeavour Mining) หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขการผลิตในปี 2567
แรงหนุนดังกล่าวยังมาจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย
หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่อย่าง เชลล์ (Shell) เป็นหนึ่งในหุ้นที่ช่วยหนุนตลาด โดยพุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 และประกาศแผนซื้อคืนหุ้นมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์
ดัชนีหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซปรับตัวขึ้น 2.2%
ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลพุ่งขึ้น 5.9% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นวอตช์ส ออฟ สวิตเซอร์แลนด์ กรุ๊ป (Watches of Switzerland Group) ที่พุ่งขึ้น 4%
นอกเหนือจากรายงานผลประกอบการ นักลงทุนยังได้แรงหนุนจากคำกล่าวของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ย โดยเขาระบุว่า "เราไม่จำเป็นต้องรีบปรับเปลี่ยนนโยบาย" และมองว่านโยบายการเงินเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และเปิดทางสำหรับการปรับลดลงอีก ซึ่งช่วยหนุนตลาดหุ้นหลัก ๆ ในยุโรปทั้งหมด
บรรดานักลงทุนกำลังรอรายงานราคาบ้านของอังกฤษในเดือนม.ค. ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ นั้น ข้อมูลระบุว่าเศรษฐกิจขยายตัวช้าลงในไตรมาส 4/2567 และนักลงทุนจับตารอข้อมูลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนธ.ค.ซึ่งจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้