ดัชนีดาวโจนส์พลิกพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด หลังเปิดตลาดในแดนลบ ขณะที่นักลงทุนจับตาการทำสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
ณ เวลา 23.22 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 44,526.61 จุด บวก 104.70 จุด หรือ 0.24%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศชะลอแผนการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน หลังจากที่ทั้งสองประเทศตกลงที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันการลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐ โดยเฉพาะยาเฟนทานิล
อย่างไรก็ดี จีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.เพื่อตอบโต้ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% เริ่มตั้งแต่วันนี้
สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 556,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.6 ล้านตำแหน่งในเดือนธ.ค. จากระดับ 8.156 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8.0 ล้านตำแหน่ง
การจ้างงานเพิ่มขึ้น 89,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 5.462 ล้านตำแหน่ง ส่วนตัวเลขปลดออกจากงานลดลง 29,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 1.771 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นักลงทุนจับตาตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ในวันศุกร์ที่ 7 ก.พ.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 154,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1%