ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (6 ก.พ.) โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่หนุนตลาดหลังเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มของแผนสันติภาพยูเครน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.84 จุด เพิ่มขึ้น 6.28 จุด หรือ +1.17%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,007.62 จุด เพิ่มขึ้น 115.94 จุด หรือ +1.47%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 21,902.42 จุด เพิ่มขึ้น 316.49 จุด หรือ +1.47% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,727.28 จุด เพิ่มขึ้น 103.99 จุด หรือ +1.21%
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน พุ่งขึ้น 4% โดยหุ้นอาร์เซเลอร์มิตตัล (ArcelorMittal) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก พุ่งขึ้น 13.3% หลังคาดการณ์อุปสงค์เหล็กเพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่หุ้นโบลิเดน (Boliden) ของสวีเดน พุ่งขึ้น 13% หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นเกินคาด
หุ้นออรูบิส (Aurubis) ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดของยุโรปพุ่งขึ้น 7.4% หลังรายงานผลกำไรไตรมาสแรกสูงกว่าคาด
ดัชนีหุ้นของประเทศยุโรปที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ใกล้กับรัสเซีย อาทิ ออสเตรีย, โปแลนด์ และฟินแลนด์ ปรับตัวขึ้นตามกัน หลังมีรายงานว่ามีการเตรียมการประชุมระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มความหวังว่าใกล้จะมีการทำข้อตกลงที่จะยุติสงครามที่ดำเนินมาเกือบ 3 ปีระหว่างยูเครนและรัสเซีย
ดัชนีหุ้นกลุ่มการบินอวกาศและการป้องกัน ร่วงลง 0.9% สวนทางตลาด และเป็นการร่วงลงวันเดียวหนักที่สุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ โดยหุ้น Saab, Rheinmetall และ Hensoldt ร่วงลงในช่วง 4.5%-6.1%
หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2 เท่านับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในเดือนก.พ. 2565 และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธ (5 ก.พ.)
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 6 สัปดาห์แรกของปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นราคาถูกในตลาดยุโรป ท่ามกลางแนวโน้มการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น