ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (11 ก.พ.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันวันที่ 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตเหล็กร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม พร้อมกับจับตาว่าสหภาพยุโรป (EU) จะออกมาตรการตอบโต้หรือไม่
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.18 จุด เพิ่มขึ้น 1.26 จุด หรือ +0.23%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,028.90 จุด เพิ่มขึ้น 22.68 จุด หรือ +0.28%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,037.83 จุด เพิ่มขึ้น 126.09 จุด หรือ +0.58% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,777.39 จุด เพิ่มขึ้น 9.59 จุด หรือ +0.11%
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.29% และเป็นปัจจัยหนุนตลาด ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรู ดีดตัวขึ้น 1.1% นำโดยหุ้นเคอริง (Kering) พุ่งขึ้น 1.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาดในไตรมาส 4/2567
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตเหล็กของยุโรปร่วงลง โดยหุ้น ArcelorMittal และ หุ้น Voestalpine ปรับตัวลง 1.9% และ 0.9% ตามลำดับ ขณะที่หุ้น Thyssenkrupp ดิ่งลง 3.9% หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยไม่มีประเทศใดได้รับการยกเว้น โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าเขาจะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในไม่ช้านี้
ทางด้าน เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ประณามการกระทำดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ และเตือนว่ายุโรปจะใช้มาตรการตอบโต้ในเรื่องนี้
นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (12 ก.พ.) เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย
ส่วนเมื่อวานนี้ พาวเวลได้ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าเฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%