ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวแคบ ขณะที่นักลงทุนซื้อขายด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะประกาศมาตรการทางภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐในวันนี้
นอกจากนี้ การซื้อขายในตลาดยังถูกกดดัน หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ณ เวลา 21.51 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 44,395.10 จุด บวก 26.54 จุด หรือ 0.06%
สื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีกำหนดจัดการแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวเกี่ยวกับการประกาศใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐในวันนี้ (13 ก.พ.) เวลา 13.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 01.00 น.ของวันที่ 14 ก.พ.ตามเวลาไทย
"เรื่องใหญ่ในวันนี้ : การประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า" ปธน.ทรัมป์ระบุใน Truth Social
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะลงนามบังคับใช้กฎหมายการค้าปี 1930 ในวันนี้ เพื่อเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าต่อประเทศที่เรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่สูงกว่าสหรัฐ
ทั้งนี้ กฎหมายการค้าปี 1930 จะให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงสุดถึง 50% ต่อสินค้าที่มีการนำเข้าจากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติทางการค้าต่อสหรัฐ
ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ในทันทีตามมาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930
อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ปธน.ทรัมป์จะบังคับใช้มาตรการทางภาษีดังกล่าวต่อประเทศใดหรือสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมใด แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า ไทยและอินเดียเป็น 2 ประเทศในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ทั้งนี้ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกสินค้าใหญ่ที่สุดของไทยในปี 2567 โดยไทยมีตัวเลขเกินดุลการค้าสหรัฐในปีดังกล่าวสูงถึง 3.54 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 2.90 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 และไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 17% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
ขณะเดียวกัน นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปีนี้ออกไปเป็นเดือนก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ค. และจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวของเฟดในปีนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI และดัชนี PPI ที่สูงกว่าคาด และนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวย้ำว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.,มิ.ย.และก.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในการประชุมที่เหลือจนสิ้นปี 2568
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ โดยย้ำว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด