ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วงหนักสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ กังวลภาษีการค้า

ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหนักที่สุดในวันเดียวนับตั้งแต่ต้นปีนี้ในวันพุธ (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดเพิ่มขึ้น หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าอีก

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 552.10 จุด ลดลง 5.07 จุด หรือ -0.91%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,110.54 จุด ลดลง 96.02 จุด หรือ -1.17%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,433.63 จุด ลดลง 410.87 จุด หรือ -1.80% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,712.53 จุด ลดลง 54.20 จุด หรือ -0.62%

ทรัมป์กล่าวว่าเขาตั้งใจจะเรียกเก็บภาษีราว 25% กับรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยาที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ

จีนกำลังเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อยู่แล้ว ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ก็กำลังพิจารณาว่าจะเข้มงวดกับโควตานำเข้าเหล็กปลอดภาษีหรือไม่ เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของทรัมป์

หุ้นกลุ่มยานยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษี ลดลง 1.5% ขณะที่ดัชนีวัดความกังวลของนักลงทุนเพิ่มขึ้น 1.25 จุด แตะระดับ 17.4 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์

ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจผันผวนนั้น เพิ่มขึ้น 0.6%

อีกปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้ในงบประมาณด้านกลาโหม เพราะสหรัฐฯ มีบทบาทลดลงในด้านการป้องกันยุโรป

กลุ่มก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างเป็นกลุ่มที่ร่วงลงหนักที่สุด โดยหุ้น Heidelberg Materials และหุ้น Holcim ปรับตัวลง หลังจากถูกโบรกเกอร์ มอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุน

อย่างไรก็ตาม ดัชนี STOXX 600 ยังคงเพิ่มขึ้นราว 8% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย S&P500 เพิ่มขึ้นเพียง 4.1% เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นยุโรปที่มีมูลค่าน่าดึงดูดใจ

จุดสนใจของตลาดจะเริ่มเปลี่ยนไปที่การเลือกตั้งเยอรมนีที่กำลังจะมาถึง โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะได้รัฐบาลผสมสองพรรคที่นำโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม