ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (25 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งช่วยชดเชยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.20 จุด เพิ่มขึ้น 0.81 จุด หรือ +0.15%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,051.07 จุด ลดลง 39.92 จุด หรือ-0.49%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,410.27 จุด ลดลง 15.66 จุด หรือ-0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,668.67 จุด เพิ่มขึ้น 9.69 จุด หรือ +0.11%
หุ้นธนาคาร HSBC และ Banco Santander เป็นแรงหนุนหลักให้กับดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งนำตลาดปรับตัวขึ้นและอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 1% โดยหุ้น Novo Nordisk บวก 2.8% และหุ้น Smith+Nephew ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 6.1% หลังจากยอดขายและกำไรประจำปีของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
หุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม เพิ่มขึ้น 1.2%
อย่างไรก็ตาม การเทขายหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกทำให้ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1.5% โดยหุ้น ASML บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ร่วง 2.2%
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง Schneider Electric และ Siemens Energy ร่วงลง 3.6% และ 7.3% ตามลำดับ หลังมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวางแผนคุมเข้มข้อจำกัดเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ที่ส่งไปยังจีน
หุ้นเหมืองแร่เป็นกลุ่มที่ร่วงลงหนักที่สุด โดยร่วงลง 1.8%
เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศแผนเพิ่มงบประมาณกลาโหมเป็น 2.5% ของ GDP ภายในปี 2570 และตั้งเป้าหมายที่ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดหลังสงครามเย็น
หุ้น BAE Systems ของอังกฤษปิดพุ่ง 4.7% แต่หุ้นกลุ่มกลาโหมยุโรปส่วนใหญ่ลดช่วงบวกในช่วงท้ายตลาด
เศรษฐกิจเยอรมนีหดตัว 0.2% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการเบื้องต้น
หุ้น Unilever ลดลง 1.3% หลังจากบริษัทประกาศว่า ไฮน์ ชูมัคเคอร์ ซีอีโอคนปัจจุบันจะก้าวลงจากตำแหน่ง และ เฟอร์นันโด เฟร์นันเดซ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินจะขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
หุ้น Heidelberg Materials พุ่งขึ้น 3.6% หลังจากบริษัทปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของโลกรายนี้เปิดเผยว่า กำไรจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ หลังจากทำสถิติสูงสุดในปี 2567