ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 600 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
ณ เวลา 22.44 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 42,542.56 จุด ลบ 648.68 จุด หรือ 1.5%
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 11% ในวันนี้ และอยู่เหนือระดับ 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุน และความผันผวนในตลาด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน แคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% นอกจากนี้ สหรัฐจะเริ่มใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.
การที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน แคนาดาและเม็กซิโก ส่งผลให้ทั้ง 3 ประเทศออกมาตรการตอบโต้ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นการกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐและชาวอเมริกันทั่วประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากที่ปธน.ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีเพียง 6 สัปดาห์ หลังการสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา
แม้การกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการกล่าวแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีขึ้นสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐที่ดำรงตำแหน่งเกินกว่า 1 ปี แต่การกล่าวปราศรัยในครั้งนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญ และได้รับความสนใจไปทั่วโลก เนื่องจากจะบ่งชี้ถึงทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเมืองและการค้าของปธน.ทรัมป์ และถือเป็นโอกาสของปธน.ทรัมป์ในการกล่าวถึงความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของเขา
ทั้งนี้ การกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในครั้งนี้มีกำหนดจัดขึ้นในคืนวันอังคารที่ 4 มี.ค. เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพุธที่ 5 มี.ค. เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย
ล่าสุด ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความใน Truth Social ระบุว่า "TOMORROW NIGHT WILL BE BIG. I WILL TELL IT LIKE IT IS!" หรือ "คืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนที่ยิ่งใหญ่ ผมจะพูดตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!"
การแถลงดังกล่าวจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ต่อชาวอเมริกันทั่วประเทศ ขณะที่สำนักข่าว BBC จะออกอากาศสดไปทั่วโลก
มีการคาดการณ์ว่าปธน.ทรัมป์จะชูนโยบาย America First หรือ "อเมริกาต้องมาก่อน" ในการกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้ รวมทั้งประเด็นการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า, การยุติสงครามในยูเครน, การป้องกันคนลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย, ความพยายามของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ในการปรับลดงบประมาณและปลดพนักงานของรัฐ, การยกเลิกโครงการด้านความแตกต่าง ความเท่าเทียม และความมีส่วนร่วม หรือ DEI ภายในองค์กรของรัฐบาลกลาง รวมทั้งการปรับลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับภาคธุรกิจและชาวอเมริกัน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งกล่าวว่า "การกล่าวปราศรัยของท่านประธานาธิบดียังอาจมีเซอร์ไพรส์อีกหลายอย่าง"
ในถ้อยแถลงหลังพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยสหรัฐจะมีความรุ่งโรจน์และกลับมาได้รับความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ในแถลงการณ์ดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวถึงสิ่งที่เขาจะดำเนินการภายใต้นโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ซึ่งรวมถึง การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐ ด้วยการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน, ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติทางชายแดนด้านใต้สหรัฐ และส่งกำลังทหารเข้าปกป้องชายแดนเพื่อสกัดการลักลอบเข้าเมืองจากเม็กซิโก และสหรัฐจะทำการเนรเทศอาชญากรต่างชาติกลับประเทศ, ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในการประกาศว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะให้การยอมรับเพียง 2 เพศ คือเพศชายและเพศหญิง ขณะที่ยุติโครงการส่งเสริมความหลากหลายและเท่าเทียมทางเพศ, นำสหรัฐถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ยกเครื่องระบบการค้าสหรัฐ ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความร่ำรวยต่อชาวอเมริกัน ไม่ใช่การเก็บภาษีชาวอเมริกันเพื่อสร้างความร่ำรวยแก่ประเทศอื่น, เปลี่ยนชื่อ "อ่าวเม็กซิโก" เป็น "อ่าวอเมริกา", ส่งมนุษย์อวกาศไปปักธงชาติสหรัฐบนดาวอังคาร และยึดคลองปานามากลับคืนสู่สหรัฐ