ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทรงตัวในวันพุธ (5 มี.ค.) หลังจากร่วงลงในวันอังคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจผ่อนปรนมาตรการภาษีนำเข้า
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,755.84 จุด ลดลง 3.16 จุด หรือ -0.04%
การแข็งค่าของเงินปอนด์สู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกดดันหุ้นบริษัทที่มีรายได้เป็นดอลลาร์ เช่น หุ้นยูนิลีเวอร์ (Unilever) และหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค (British American Tobacco) ขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงถ่วงหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ หุ้นเชลล์ (Shell) ร่วงลง
FTSE 100 ปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร หลังจากที่มาตรการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ต่อคู่ค้ารายใหญ่มีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม คำแถลงจากรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณว่า ภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาอาจได้รับการยกเว้นนั้น ได้ช่วยให้ตลาดยังมีความหวังต่อการเจรจา
นอกจากนี้ คำกล่าวของ ทรัมป์ที่ระบุว่า ยูเครนพร้อมเจรจาเพื่อยุติสงครามกับรัสเซีย ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน หลังจากที่ทรัมป์ปะทะคารมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่า พุ่งขึ้น 4.6% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินช่วยหนุน FTSE 100 ด้วย โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร ฟื้นตัวขึ้น 1.8% หลังจากร่วงลงมากกว่า 3% ในวันอังคาร
หุ้นกลุ่มกลาโหมของอังกฤษ พุ่งขึ้น 3.1% ขณะที่หุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มก่อสร้างและวัสดุ รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการ ต่างก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของอังกฤษลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 51.0 ในเดือนก.พ. จาก 51.1 ในเดือนม.ค. ขณะที่ผลสำรวจระบุว่า ธุรกิจบริการลดการจ้างงานในอัตราเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีและค่าจ้างขั้นต่ำในเดือนหน้า