ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 800 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ รวมทั้งแนวโน้มที่สหรัฐเสี่ยงเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ในสัปดาห์นี้
ณ เวลา 01.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 41,923.46 จุด ลบ 878.26 จุด หรือ 2.05%
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 14% ในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
นักวิเคราะห์เตือนว่า สหรัฐมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ความเสี่ยงของ "Trumpcession" (Trump + recession) หรือเศรษฐกิจถดถอยจากนโยบายทรัมป์ ได้เพิ่มขึ้นในระยะนี้ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ได้ตัดสินใจระงับการเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นครั้งที่ 2
นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว Fox News ที่มีการออกอากาศวานนี้ (9 มี.ค.) ผู้ดำเนินรายการถามว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีนี้หรือไม่ ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอย และกล่าวเตือนว่า ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่าน และแนวโน้มเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักพากันปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเตือนว่าการทำสงครามการค้าของปธน.ทรัมป์กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยเป็น 20% จากเดิมที่ระดับ 15% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.9% เนื่องจากผลกระทบของนโยบายการค้าและการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -2.4% ในไตรมาส 1/2568 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว +2.3% ในไตรมาสดังกล่าว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 151,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 159,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานดีดตัวสู่ระดับ 4.1% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.0%
สหรัฐเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ในสัปดาห์นี้ หากสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันศุกร์ที่ 14 มี.ค.
ก่อนหน้านี้ สมาชิกพรรครีพับลิกันเสนอแผนที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีงบประมาณที่จะบริหารประเทศจนถึงวันที่ 30 ก.ย. แต่ก็คาดว่าจะถูกขัดขวางจากสมาชิกพรรคเดโมแครต เนื่องจากแผนดังกล่าวจะลดการใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศลงต่ำกว่าระดับในปีงบประมาณ 2567
หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ก่อนถึงเส้นตายในวันศุกร์นี้ สหรัฐจะเกิดภาวะชัตดาวน์ ทำให้มีการปิดหน่วยงานราชการจำนวนมาก ขณะที่พนักงานซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดรัฐบาลกลางสหรัฐที่ถูกระบุว่าเป็นพนักงาน "ที่ไม่มีความจำเป็น" จะถูกพักงานชั่วคราว ส่วนพนักงาน "ที่มีความจำเป็น" จะยังคงปฏิบัติงานต่อไป แต่จะยังไม่ได้รับค่าจ้าง จนกว่าภาวะชัตดาวน์จะสิ้นสุดลง
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 18-19 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ของเฟดในปีนี้
กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.,ก.ค.และต.ค. หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -2.4% ในไตรมาส 1/2568
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.0% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 18-19 มี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนก.ค. รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนต.ค. ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวจนสิ้นปี 2568
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันที่ 19 มี.ค. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ รวมทั้งจับตารายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ
ในการประชุมเดือนธ.ค.2567 รายงาน Dot Plot บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2568 จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือนก.ย.2567 ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1.00% ในปี 2568
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนก.พ.ในวันพุธนี้
ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนก.พ. จากระดับ 3.0% ในเดือนม.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. จากระดับ 0.5% ในเดือนม.ค.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 3.3% ในเดือนม.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. จากระดับ 0.4% ในเดือนม.ค.