ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 890.01 จุด วิตกมาตรการภาษีฉุดศก.ถดถอย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 11, 2025 06:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันจันทร์ (10 มี.ค.) เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรและความเป็นไปได้ที่จะมีการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ได้ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,911.71 จุด ลดลง 890.01 จุด หรือ -2.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,614.56 จุด ลดลง 155.64 จุด หรือ -2.70% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,468.32 จุด ลดลง 727.90 จุด หรือ -4.00%

นักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยโกลด์แมน แซคส์ปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็น 20% จากเดิมที่ระดับ 15% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2568 ลงสู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.9% เนื่องจากผลกระทบของนโยบายการค้าและการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้

ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News เมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) โดยเขาปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปฏิกิริยาด้านลบที่ตลาดมีต่อความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีที่เขานำมาใช้กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ รวมทั้งปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่ากระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีที่ไม่แน่นอนของเขานั้น อาจผลักดันให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่

ดัชนี S&P500 ร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. และดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลง 4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2565

ส่วนดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 19.21% ปิดที่ระดับ 27.86 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2567

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง 4.34% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 3.90% ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 1.04% และ 0.95% ตามลำดับ

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนัก เนื่องจากผลกระทบของเงินเยนที่แข็งค่าและการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่น หลังจากนักลงทุนได้ลดการทำ Carry Trade ในสกุลเงินเยน ท่ามกลางความหวังที่ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้

ทั้งนี้ ธุรกรรม Carry Trade คือการที่นักลงทุนกู้ยืมสกุลเงินเยนซึ่งมีต้นทุนต่ำ เพื่อนำไปซื้อสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งการลดการทำ Carry Trade ได้ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือกลุ่ม "Magnificent Seven"

หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 15.4% ซึ่งเป็นการดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2563 เนื่องจากความเชื่อมั่นที่มีต่อเทสลาลดน้อยลง หลังจากกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ ได้ทำการปลดพนักงานของรัฐและลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ