ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือนในวันอังคาร (11 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเดินทางและนันทนาการ ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับการขู่เก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดทั่วโลกผันผวน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,495.99 จุด ลดลง 104.23 จุด หรือ -1.21%
ดัชนี FTSE 100 ลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 6 และปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.
หุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการร่วงลงมากที่สุดในตลาด โดยร่วง 3.1% นำโดยหุ้นไอเอจี (IAG) เจ้าของสายการบินบริติชแอร์เวย์ (British Airways) ซึ่งร่วงลง 6.1% หลังจากเดลตา แอร์ไลน์ส (Delta Air Lines) เตือนว่าภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเดินทาง
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นราว 0.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อดัชนี FTSE 100 ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักด้วย
นอกจากนี้ ความผันผวนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 50% และขู่จะเพิ่มภาษีรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอังกฤษระบุว่า อังกฤษจะไม่ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ แม้ว่าภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้
แต่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษปรับตัวขึ้น 2.6% สวนทางตลาด นำโดยหุ้นเพอร์ซิมมอน (Persimmon) ซึ่งพุ่งขึ้น 5.5% หลังจากบริษัทประกาศแผนสร้างบ้านเพิ่มขึ้น โดยหวังพึ่งการสนับสนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ในช่วงเช้ามีรายงานจากภาคค้าปลีกและผู้บริโภคที่ระบุว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคอังกฤษชะลอตัวในเดือนที่ผ่านมา โดยสมาคมค้าปลีกอังกฤษรายงานว่ายอดขายในเดือนก.พ. เพิ่มขึ้นเพียง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยชะลอตัวลงหลังจากเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนม.ค.