ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นในวันพุธ (12 มี.ค.) หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 4 วัน เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังเกี่ยวกับพัฒนาการในเชิงบวกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.25 จุด เพิ่มขึ้น 4.36 จุด หรือ +0.81%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,988.96 จุด เพิ่มขึ้น 47.05 จุด หรือ +0.59%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,676.41 จุด เพิ่มขึ้น 347.64 จุด หรือ +1.56% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,540.97 จุด เพิ่มขึ้น 44.98 จุด หรือ +0.53%
ดัชนี STOXX 600 ยุติการปรับตัวลงต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.
สหรัฐฯ ตกลงเมื่อวันอังคารที่จะกลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน หลังจากที่ยูเครนแสดงท่าทีพร้อมยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันกับรัสเซีย
"เรื่องนี้ช่วยสร้างความหวัง เพราะหากมีข้อตกลงหยุดยิงและอาจนำไปสู่สันติภาพ ก็จะช่วยลดต้นทุนพลังงานในยุโรป และยังส่งผลดีในหลายด้าน" ฟิโอนา ซินคอตตา นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจากซิตี้ อินเด็กซ์ (City Index) กล่าว
กลุ่มหุ้นส่วนใหญ่ในดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้น นำโดยกลุ่มธนาคารยุโรป รวมถึงกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและบริการ
หุ้นซีแลนด์ ฟาร์มา (Zealand Pharma) พุ่งขึ้นกว่า 37% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังจากที่บริษัทโรช (Roche) ของสวิตเซอร์แลนด์ตกลงซื้อสิทธิ์ในการพัฒนายารักษาโรคอ้วนจากซีแลนด์ ฟาร์มา ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นของโรช ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด พุ่งขึ้น 3.6% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้น 0.4%
ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มค้าปลีกลดลง 3% โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นอินดิเท็กซ์ (Inditex) เจ้าของแบรนด์ซาร่า (Zara) ที่ร่วงลง 7.5% หลังรายงานว่ายอดขายไตรมาสแรกที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ชะลอตัว
หุ้นพูม่า (Puma) ร่วงหนัก 19.9% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 8 ปี หลังจากบริษัทกีฬาสัญชาติเยอรมันคาดการณ์ยอดขายไตรมาสแรกที่น่าผิดหวัง ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค
หุ้นปอร์เช่ (Porsche) ปรับตัวลงเล็กน้อย หลังจากบริษัทรายงานว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2567 ลดลงมากกว่า 30% เนื่องจากต้นทุนสูงและอุปสงค์ที่อ่อนแอจากจีน
ขณะเดียวกัน ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่นในตลาด
"ข้อมูลนี้ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการสนับสนุนเศรษฐกิจหากจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดยังถูกจำกัดด้วยความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอย" ซินคอตตากล่าว
ดัชนีหุ้นยุโรปร่วงลง 1.7% ในวันอังคาร หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 2 เท่า ซึ่งภายหลังถูกยกเลิกไป แคนาดาตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษี ส่วนคณะกรรมาธิการยุโรปก็เตรียมใช้มาตรการตอบโต้ในเดือนหน้า
นโยบายการค้าของทรัมป์เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดโลกผันผวนมาตลอด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์การเมืองในโปรตุเกส หลังจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยสายกลาง-ขวาล่มสลายหลังการลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อวันอังคาร รวมถึงความเคลื่อนไหวในเยอรมนีก่อนการลงมติผ่านมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ