ตลาดหุ้นลอนดอนปิดฟื้นตัวขึ้นในวันพุธ (12 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจกับพัฒนาการในเชิงบวกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ขณะเดียวกันก็ประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,540.97 จุด เพิ่มขึ้น 44.98 จุด หรือ +0.53%
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก หลังจากร่วงลง 6 วันติดต่อกัน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567
สหรัฐฯ ตกลงเมื่อวันอังคารที่จะกลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน หลังจากที่รัฐบาลยูเครนแสดงท่าทีพร้อมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันกับรัสเซีย
หุ้นในตลาดลอนดอนส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มการเงินเป็นแรงหนุนสำคัญต่อดัชนี
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าพุ่งขึ้น 2.8% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ
หุ้นฮอชชิลด์ ไมนิง (Hochschild Mining) พุ่งขึ้น 12.6% หลังจากบริษัทกลับมาจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง
บรรดานักลงทุนยังจับตานโยบายภาษีและการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความผันผวนในตลาด จากท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นสำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ในวันพุธ ขณะที่สหภาพยุโรปเตรียมตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีมูลค่า 2.6 หมื่นล้านยูโร (2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ในเดือนหน้า
ด้านอังกฤษเลือกแนวทางที่ยืดหยุ่นกว่าการตอบโต้ทางภาษีโดยตรง แม้นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ระบุว่าเขารู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจดังกล่าวของสหรัฐฯ และย้ำว่ายังคงเปิดกว้างสำหรับทางเลือกทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ระบุว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในระดับปานกลางในเดือนก.พ. แต่การปรับตัวดีขึ้นนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราว อันเนื่องจากผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าที่เข้มงวด
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นฮิลล์ แอนด์ สมิธ (Hill & Smith) พุ่งขึ้น 8% หลังเผยกำไรหลักประจำปีสูงกว่าคาดการณ์, หุ้นเจดี สปอร์ตส์ (JD Sports) ร่วงลง 3.2% หลังจากหุ้นพูม่าร่วงลงอย่างหนักจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และหุ้นลีเกิล แอนด์ เจเนอรัล (Legal & General) ร่วง 2.3% หลังจากบริษัทประกันชีวิตแห่งนี้รายงานกำไรจากการดำเนินงานประจำปีที่ต่ำกว่าคาด