ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทรงตัวในวันพฤหัสบดี (13 มี.ค.) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนกดดันตลาดด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,542.56 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด หรือ +0.02%
ตลาดหุ้นอังกฤษปิดทรงตัว หลังจากที่ได้แรงหนุนเมื่อวันพุธจากข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับรัสเซียและยูเครน โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียเห็นพ้องกับข้อเสนอหยุดยิง แต่ยังต้องหารือรายละเอียดเพิ่มเติม
บรรดานักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่จะเรียกเก็บภาษี 200% สำหรับไวน์และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์จากประเทศในสหภาพยุโรป (EU)
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจระบุว่าตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษในเดือนก.พ. อยู่ในระดับซบเซาที่สุดในรอบกว่า 1 ปี ส่งผลให้หุ้นกลุ่มผู้สร้างบ้านร่วงลง 2.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าเพิ่มขึ้น 1.6% โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นมากกว่า 1% ทำสถิติสูงสุดตลอดกาล เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นโวดาโฟน กรุ๊ป (Vodafone Group) พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 วัน
หุ้นโวลูชัน (Volution) ผู้ผลิตอุปกรณ์ระบายอากาศ พุ่งขึ้น 12.7% แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังจากคาดการณ์ผลประกอบการปีนี้ในเชิงบวก
หุ้นธนาคารแนตเวสต์ กรุ๊ป (NatWest Group) ร่วงลง 2.7% หลังจากรัฐบาลอังกฤษขายหุ้นของธนาคารแห่งนี้เพิ่มอีก 89 ล้านหุ้น ทำให้รัฐบาลไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของธนาคารนี้อีกต่อไป
หุ้นเทรนไลน์ (Trainline) บริษัทจำหน่ายตั๋วรถไฟของอังกฤษ ร่วงลง 13.2% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน หลังเปิดเผยรายได้ประจำปีต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์